หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ค่านิยมที่ควรแก้ไขในสังคมไทย


ค่านิยมของสังคมไทยนั้นไม่ใช้ว่าจะก่อให้เกิดผลดีต่อสังคมทั้งหมดดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เพราะค่านิยม
ที่ไม่ควรยกย่องที่เกิดขึ้นในสังคมก็ยังมีอยู่มาก ซึ่งถ้าคนในสังคมปฎิบัติยึดถือ ย่อมก่อให้เกิดผลเสียต่อสังคม
นั้น ๆ ได้ดังนั้น ค่านิยมดังกล่าวจึงเป็นสิ่งที่ควรแก้ไข ซึ่งมีดังนี้
           1. ให้ความสำคัญกับวัตถุ หรือเงินตราย่อมก่อให้เกิดผลเสียได้รับการดูถูกดูแคลน เป็นที่รังเกลียดต่อสังคม
           2. ยึดถือในตัวบุคคล ยกย่องผู้มีอำนาจ มีเงิน
           3. รักพวกพ้อง รักความสนุกสนาน ความสบาย
           4. รักความหรูหรา ฟุ่มเฟือย นิยมใช้สิ้นค้าแพง
           5. ไม่ตรงเวลา ขาดระเบียบวินัย ขาดความกระตือรือร้นและความอดทน
           6. เชื่อเรื่องโชคลาง อำนาจเหนือธรรมชาติ ชอบเล่นการพนัน
          7. ขาดความเคราพผู้อาวุโส
          8. นับถือวัตถุมากกว่าพระธรรม ทำบุญเอาหน้า หวังความสุขในชาติหน้า
          9. นิยมตะวันตกลืมภาษาไทย ซึ่งเป็นภาษาของชาติ จนทำให้ภาษาไทยผิดเพี้ยน
         10. พูดมากกว่าทำ หน้าใหญ่ใจโต สอดรู้สอดเห็น เห็นใครดีไม่ได้
        ค่านิยมเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาได้เช่นเดียวกับความเชื่อ ซึ่งแตกต่างกันไปตามสังคมและวัฒนธรรม
ส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ปฎิบัติอยู่ก็ควรจะระลึกไว้ว่า สิ่งใดดี สิ่งใดเหมาะสม ในสภาพสังคมปัจจุบัน
เราจึงควรเลือกให้ได้ว่าค่านิยมใดคือค่านิยมที่ดีและควรปฎิบัติ


การสร้างค่านิยมให้กับเยาวชน


ถ้าเด็กหรือเยาวชนในวันนี้เป็นผู้ที่มีคุณค่า มีปัญญา เป็นผู้มีคุณธรรมและสติปัญญาในทางที่ถูกต้อง
สังคมไทยจะได้ผู้ใหญ่ที่ดีในอานาคต ครอบครัวเป็นสถาบันแรกที่สำคัญที่สุดในการแต่งแต้มคุณธรรมความดีหรือสิ่งที่เลวร้ายให้กับเด็กได้ ดังนั้น การอบรมเยาวชนให้เป็นคนดีสามารถปฎิบัติได้ดังนี้
       1. สถาบันครอบครัวสามารถปลูกฝังค่านิยมที่ดีให้เยาวชนได้ โดยพ่อแม่ ผู้อบรมเลี้ยดูต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกเพื่อให้เขาเติบโตมาอย่างมีคุณภาพทั้งร่างกายและจิตใจ
       2. สถาบันการศึกษา ให้การอบรมสั่งสอนในด้านความรู้ คิดเป็น ทำเป็น มีคุณธรรม จริยธรรม โดยครูต้องเป็นแบบอย่างที่ดีต่อศิษย์ เพื่อสร้างเขาให้เป็นคนดี
       3. การปลูกฝังทั้ง 2 สถาบัน นอกจากจะอบรมสั่งสอนและเป็นแบบอย่างที่ดีแล้ว ควรปลูกฝังให้เยาวชนรู้จักใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหาด้วยเหตุผลแห่งความถูกต้อง เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการปฎิบัติ ที่ว่าสิ่ง ที่ตนได้ปฎิบัตินั้นเป็นสิ่งที่ดีถูกต้อง   


เกณฑ์สำหรับพิจารณาค่านิยม


การที่จะพิจารณาว่า คุณลักษณะใดเป็นค่านิยมหรือไม่นั้น ควรได้พิจารณาตามเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1. ค่านิยมนั้นเกิดจากการเลือกอย่างเสรีของบุคคลผู้นั้นหรือไม่ หากมีการบังคับให้เราจำต้องเลือกค่านิยมใด ค่านิยมหนึ่งแล้ว จะเรียกว่าเป็นค่านิยมที่แท้จริงไม่ได้ เพราะสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่พอกจากภายนอก ไม่ได้เกิดขึ้นจากความยินยอมพร้อมใจเห็นคุณค่าของสิ่งนั้นอย่างแท้จริงและสิ่งที่มีลักษณะพอกจากข้างหน้าเช่นนี้ ในระยะเวลาไม่นานนักจะสูญสิ้นไป ไม่ได้คงอยู่เป็นคุณสมบัติประจำตัวของเรา
2. เรามีทางเลือกค่านิยมอื่นอีกหรือไม่(Choice among alternatives) ถ้ามีค่านิยมให้เราพิจารณาเพียงอย่างเดียว ก็หมายความว่าเราไม่มีทางหรือโอการสที่จะเลือกคุณค่าด้วยการเปรียบเทียบ หนทางเดียวที่พอจะเรียกว่าเลือกก็คือ การตัดสินใจว่าจะรับหรือไม่รับเท่านั้น เมื่อไม่มีทางเลือก การที่จะพิจารณาถึงข้อดีหรือข้อเสีย หรือความเหมาะสมหรือไม่ก็หมดไป ดังนั้นค่านิยมที่เราจะยึดถือนั้นจะต้องได้มาจากการเลือกจากค่านิยมหลายอย่างที่มีอยู่ เพื่อจะได้มีโอกาสเปรียบเทียบคุณสมบัติในแง่มุมต่างๆ ได้
3. การเลือกค่านิยมนั้น กระทำหลังจากที่เราได้พิจารณาถึงข้อดีข้อเสียและผลที่จะตามมาจากการรับนับถือค่านิยมต่างๆ ที่มีให้เราเลือกหรือไม่ การถูกบังคับให้เลือกหรือเลือกโดยไม่ได้คิดให้รอบคอบทะลุถ่องแท้แล้วนั้น จะถือว่าเป็นค่านิยมยังไม่ได้ การเลือกค่านิยมนั้นต้อองไม่กระทำไปด้วยอารมณ์ แต่จะต้องเป็นไปด้วยการใช้สติปัญญา ไตร่ตรองโดยละเอียด เช่นด้วยการใช้ขบวนการคิดเชิงปรัชญา เป็นต้น
4. เราเทิดทูนและรักษาค่านิยมที่เราเลือกไว้แล้วนั้นอย่างมั่นคงหรือไม่ ถึงแม้ว่าในตอนแรกเราอาจจะไม่สบายใจนักที่จะทำ แต่เราก็จะพยายามทำด้วยคามสำนึกในคุณค่าและมีความภูมิใจที่จะได้กระทำ เช่น การตัดสานใจที่เข้าทำการปราบเสี้ยนหนามของแผ่นดิน ถึงแม้ว่าจะต้องเสี่ยงชีวิต แต่เราก็จะภูมิใจมากกว่าที่จะอยู่อย่างเป็นทาส
5. เราจะยืนหยัดในค่านิยมที่เราได้เลือกไว้แล้วอย่างเด็ดเดี่ยวและเหนี่ยวแน่น ถ้าเรายังไม่แนะใจในค่านิยมที่เรายึดถือ เราก็อาจจะละอายต่อการแสดงว่าเราย่อมรับนับถือในค่านิยมนั้นและไม่กล้าที่จะยืนยันถึงความดีแห่งค่านิยมนั้นบุคคลอื่น โดยเฉพาะที่จะยืนยันต่อการโจมตีจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยในค่านิยมนั้น
6. เราสามารถแสดงออกด้วยการกระทำเพื่อชี้ให้เห็นว่าเรายอมรับนับถือในค่านิยมนั้นหรือไม่ เช่น เรายินดีที่จะเสียสละกำลังกาย กำลังทรัพย์หรือเวลา เพื่อที่จะปฏิบัติตัวให้เป็นไปตามค่านิยมที่เรายกย่องนับถือ ทั้งนี้เพราะสิ่งที่เราเรียกว่าค่านิยมนั้นจะเป็นสิ่งที่นำทางในการดำเนินชีวิตตามปกติของเรา หากว่าเราแสดงความนิยมนับถือในค่านิยมชัดๆ แต่ปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามค่านิยมนั้นแล้ว เห็นจะเรียกว่าเป็นค่านิยมของเราไม่ได้
7. มีการกระทำซ้ำในสิ่งที่เรายึดถือเป็นค่านิยมหรือไม่ อาจจะมีการกระทำซ้ำๆ จนเป็นกิจประจำวันก็ได้ ค่านิยมเหล่านี้จะแสดงตัวออกในการกระทำต่างๆ ของเขา ภายใต้ภาวะและเวลาที่แตกต่างกันออกไป สิ่งที่ปรากฏขึ้นเพียงครั้งเดียวแล้วหายไปนั้น เราเรียกกว่าค่านิยมไม่ได้ค่านิยมจะต้องมีความคงทน และเป็นแบบฉบับในการดำเนินชีวิตของเราอย่างน้อยก็ในช่วงเวลานานพอสมควร
                    แนวคิด อุดมคติหรือคุณลักษณะใดหากขาดคุณสมบัติทั้ง 7 ประการนี้ ไม่ว่าจะขาดคุณสมบัติใดคุณสมบัติหนึ่ง ย่อมน่าจะสงสัยว่าจะเป็นค่านิยมได้หรือไม่ อย่างไรก็ตามอาจจะมีค่านิยมบางอย่างที่เป็นที่ยอมรับนับถือและถ่ายทอดกันมาเป็นมาดกทางวัฒนธรรม จนถือได้ว่าเป็นค่านิยมที่มีลักษณะคงตัวเป็นค่านิยมหรือลักษณะนิสัยประจำชาติ ค่านิยมเหล่านี้เป็นเรื่องที่จะต้องปลูกฝังให้แก่เยาวชนโดยไม่มีข้อยกเว้น โดยไม่มีทางเลือกและโดยรีบเร่ง เพื่อให้บังเกิดผลเป็นค่านิยมประจำตัวเยาวชนได้ทันกาล เช่น ค่านิยมเรื่องความรักชาติ ความเป็นชาตินิยมความนิยมไทย ความสำนึกในหน้าที่ ความกตัญญูกตเวทีและความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ เป็นต้น


หน้าที่ของค่านิยม


สำหรับหน้าที่ของค่านิยมนั้น จำแนกได้ 3 ประการ คือ
                ประการแรก ค่านิยมทำหน้าที่เป็นเกณฑ์ (Criteria) หรือมาตรฐาน (standards) ที่ใช้นำการกระทำ พฤติกรรมการปฏิบัติหลายทาง คือ
        1.ค่านิยมชักจูงบุคคลให้แสดงจุดยืนของเขาในเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับสังคมออกมาเห็นได้ชัด
        2.ค่านิยมเป็นตัวช่วยกำหนดให้บุคคลเลือกอุดมการณ์ทางการเมือง บางอุดมการณ์มากกว่าอุดมการณ์อื่นๆ
        3.ค่านิยมเป็นปทัสถาน ที่ช่วยนำการกระทำให้บุคคลประพฤติและแสดงตัวต่อผู้อื่นตามที่ประพฤติเป็นปกติอยู่ทุกวัน
        4.ค่านิยมเป็นปทัสถานที่ใช้ในการประเมิน ตัดสิน ชื่นขม ยกย่องหรือตำหนิติเตียนตัวเอง หรือการกระทำของคนอื่น
        5.ค่านิยมเป็นจุดศูนย์กลางของการศึกษากระบวนการเรียบเทียบ คือใช้ค่านิยมเป็นปทัสถานในการเปรียบเทียบว่า บุคคลมีค่านิยม ความสามารถเท่ากับผู้อื่นมากน้อยแค่ไหน
        6.ค่านิยมเป็นปทัสถานที่ถูกใช้เป็นฐานสำหรับกระบวนการให้เหตุผลต่อความนึกคิด และการกระทำของตน เพื่อธำรงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีของตน

        ประการที่ 2  ค่านิยมทำหน้าที่เป็นที่รวมของหลักการและเกณฑ์ ต่างๆ ที่เรียนรู้มา เพื่อช่วยให้ตัดสินใจเลือกระหว่างทางเลือกต่างๆ และเป็นการช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น

        ประการที่ 3 ค่านิยมทำหน้าที่เป็นตัวบ่งชี้ความต้องการของมนุษย์โดยถือว่า ค่านิยมเป็นองค์ประกอบของแรงจูงใจในตัวเช่นเดียวกับองค์ประกอบทางด้านความรู้สึก อารมณ์และพฤติกรรมค่านิยม วิถีปฏิบัติเป็นแรงจูงใจก็เพราะวิถีปฏิบัติที่คิดว่าดีที่สุด (idealized) เป็นวิถีทางหรือเป็นเครื่องมือที่ช่วยนำไปสู่เป้าหมายปลายทางที่ปรารถนาในทาง ค่านิยมจุดหมายปลายทางส่วนค่านิยมจุดหมายปลายทาง เป็นแรงจูงใจที่เป็นเป้าหมายที่เหนือกว่า (Super goal) เป้าหมายเร่งด่วนเฉพาะหน้า (Urgent Immediate goal)


ความสำคัญของค่านิยม



ค่านิยม เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เนื่องจากว่าค่านิยมที่มนุษย์เรามีอยู่นั้นทำหน้าที่มากมายหลายอย่างที่เกี่ยวกับชีวิตของเราที่สำคัญ คือ

1. ค่านิยมทำหน้าที่เป็นบรรทัดฐานหรือมาตรฐานของพฤติกรรมทั้งหลายของเรากล่าวคือค่านิยม จะเป็นตัวกำหนดการแสดงออกซึ่งพฤติกรรมของเราว่า เราควรจะทำหรือไม่ ควรจะทำในสิ่งใด ค่านิยมจะช่วยกำหนดจุดยืนในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ฯลฯ และค่านิยมจะช่วยทำหน้าที่ประเมินการปฏิบัติการต่างๆ ทั้งของตัวเราเองและของผู้อื่น
2. ค่านิยมทำหน้าที่เป็นแบบแผนสำหรับการตัดสินใจการแก้ไขข้อขัดแย้งต่างๆในบางกรณีบุคคลต้องเผชิญกับสถานการณ์บางอย่างที่ขัดแย้งกัน ทำให้เขาต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง เช่น การปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา อย่างเคร่งครัด กับความเป็นตัวของเอง หรือการรักษาความเป็นอิสรเสรีของตน การปฏิบัติงานด้วยความชื่อสัตย์ สุจริตแต่ยากจน กับการปฏิบัติงานในทางที่ไม่สุจริต แต่ทำให้ร่ำรวย บุคคลจะเลือกเดินทางไหนนั้น ค่านิยม หรือระบบค่านิยมที่บุคคลมีอยู่จะช่วยกำหนดทางเลือกให้เขา
3. ค่านิยมทำหน้าที่เป็นแรงจูงใจ หรือผลักดันของบุคคล เช่น บุคคลที่มีค่านิยมชมชองในการมีอายุนาน หรือสุขภาพดี ก็จะมีแรงผลักดันให้อยากออกำลังกายอยู่สม่ำเสมอ ตลอดจนมีความรอบคอบในการบริโภคอาหารบุคคลที่ทีค่านิยมเกี่ยวกับวัตถุนิยมสูง ก็มักจะมีความขยันขันแข็ง และเพียรพยายามในการทำงานเพื่อให้มาซึ่งเงินทองและสิ่งที่ตนพึงปรารถนาเหล่านี้ เป็นต้น
                      ด้วยเหตุที่ค่านิยมเป็นตัวกำหนดความประพฤติและการปฏิบัติของตน และการประพฤติการปฏิบัติของตนเป็นตัวการทำให้สังคมเปลี่ยนไป เราจึงอาจจะกล่าวได้ว่าค่านิยม มีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ในขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงทางสังคม เช่น การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ก็มีส่วนทำให้ค่านิยมใหม่ๆ เกิดขึ้นได้เหมือนกัน พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ค่านิยมเป็นได้ทั้งเหตุและผลของการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นค่านิยมจึงมีความสำคัญมาก เพราะส่งผลกระทบกระเทือนถึงความเจริญ ความเสื่อมของสังคม และความมั่งคงของชาติ กล่าวคือ สังคมที่มีค่านิยมที่เหมาะสม ถูกต้อง เช่น ความซื่อสัตว์ ความขยันหมั่นเพียร ความเสียสละ ความมีระเบียบวินัย ความสามัคคี เป็นต้น สังคมนั้นย่อมจะเจริญก้าวหน้าอย่างแน่นอน สังคมใดมีค่านิยมไม่เหมาะสม เช่น ขาดระเบียบวินัย ไร้ความสามัคคี เกียจคร้าน ฯลฯ สังคมนั้นจะเสื่อมลงและขาด ชความมั่นคงภายในชาติ จึงจำเป็นอย่างยิงที่สังคมจะต้องสร้างค่านิยมที่เหมาะสมและเป็นค่านิยมที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่พึงปรารถนามากที่สุด

ค่านิยมเกิดขึ้นจากผลผลิตของวัฒนธรรม สังคม สถาบัน รวมทั้งแรงผลักดันส่วนบุคคล ซึ่งต่างก็มีอิทธิพลในการปั้นแต่งค่านิยมขึ้นมาทั้งนั้น แต่ค่านิยมที่จะเกิดขึ้นมาและเจริญงอกงามได้ดีเพียงใดนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจของแต่ละบุคคลอีกด้วย ทั้งนี้มีปัจจัยสำคัญ อยู่ 2 ประการ (สมบูรณ์  ตันยะ,2542)ได้แก่
1. สภาพจิตใจและร่างกาย ซึ่งได้มาโดยธรรมชาติที่เรียกว่า อุปนิสัย พรสวรรค์ เพศ วัย และพันธุกรรม เป็นต้น
2. การเลี้ยงดู การจูงใจ การให้อยู่ในสิ่งแวดล้อมของสังคมและธรรมชาติ การให้การศึกษาอบรมที่เรียกว่า การปลูกฝัง หรือวัฒนธรรมด้านต่างๆ
                 หากปัจจัย 1 และ 2  แปรเปลี่ยนไป ค่านิยมย่อมแปรเปลี่ยนไปด้วยในทิศทางเดียวกันกับปัจจัยนั้นๆ ในเรื่องนี้ พนัส หันนาคินทร์ (พนัส หันนาคินทร์, 2520 ) ได้สรุปแนวคิดเกี่ยวกับค่านิยม ที่สนับสนุนเรื่องนี้ว่า ค่านิยมของแต่ละคนนั้น  เกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่ได้รับการตรวจสอบแล้วของเขา และเนื่องจากประสบการณ์ที่แตกต่างกันของแต่ลุบุคคล จึงทำให้ค่านิยมของแต่ละบุคคลผิดแผนแตกต่างกันออกไป ถึงแม้ว่าจะอยู่ในวัฒนธรรม หรือสังคมเดียวกันก็ตาม เมื่อประสบการณ์ของแต่ละบุคคลมีเพิ่มมากขึ้น ก็จะมีผลกระทบกระเทือนทำให้เขาเปลี่ยนแปลงและวุฒิภาวะของประสบการณ์ของบุคคลนั้นๆ

                ดังนั้นกล่าวได้ว่า ค่านิยมเกิดขึ้นเพราะพื้นฐานความต้องการโดยธรรมชาติของมนุษย์ ด้วยการเรียนรู้ แล้วกลายเป็นค่านิยมขึ้นมา ค่านิยมที่ก่อตัวและฝังรากลึกนานเข้าก็จะมีอิทธิพลต่อทัศนคติและพฤติกรรมของบุคคลที่แสดงออกในช่วยระยะเวลาหนึ่ง และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลสมัย สภาพแวดล้อมและบุคคลในสังคม




ประเภทของค่านิยม


สาโรธ บัวศรี (2527 ) กล่าวว่า การแบ่งประเภทของค่านิยมกระทำได้หลายวิธี แล้วแต่ว่าผู้แบ่งจะยึดอะไรเป็นพื้นฐานในการการแบ่ง ไม่มีการแบ่งที่เป็นการตายตัวอย่างเพียงอย่างเดียว ถ้าผู้แบ่งยึดถือพระผู้เป็นเจ้าหรือพระศาสดาเป็นหลักสำคัญ ก็อาจจะแบ่งค่านิยมออกได้ เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้ดังนี้

1. ค่านิยมที่เป็นศีลธรรม (Morality) หมายถึงค่านิยมที่เป็นศีล และธรรมโดยเฉพาะหรือได้แก่ Moral Values และ Ethical Values โดยเฉพาะ ซึ่ง ถือเอาพระศาสดาหรือพระผู้เป็นจ้าได้กำหนดไว้ให้แล้ว
2. ค่านิยมที่เป็นข้อตกลง (Convention) หมายถึงค่านิยมที่ประชาชนในชาติได้ตกลงเห็นชอบกำหนดกันขึ้นเองไม่ว่าจะเป็นโดยทางตรงหรือทางอ้อม ตามยุคตามสมัย ได้แก่ธรรมเนียมประเพณีอุดมการณ์ วินัย กฎหมาย ฯลฯ
                 แต่ถ้าแบ่งยึดถือเอาวิชาชีพ (Profession) เป็นหลักสำคัญก็อาจจะแบ่งค่านิยมออกเป็น 2 ประเภท เช่นกัน คือ

     1. ค่านิยมพื้นฐาน (Basic Values) ประกอบด้วยค่านิยมดังต่อไปนี้
                        ศีลธรรม (Moral Values)
                        คุณธรรม (Ethical Values)
                        ธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรม (Cultural Values)
                        กฎหมาย (Legal Values)

     2. ค่านิยมวิชาชีพ ประกอบด้วยค่านิยมต่อไปนี้
                        อุดมการณ์ประจำวิชาชีพของตน เช่น นักการศึกษา อาจมีอุดมการณ์ 3 ประการ คือวิชาการ วิจัย การใช้ความคิดใหม่
                        วินัยประจำวิชาอาชีพของตน
                        มารยาทประจำวิชาชีพของตน
                        พระราชบัญญัติประจำวิชาชีพของตนโดยเฉพาะ
                 ในการแบ่งประเภทของค่านิยมทั้งสองประการดังกล่าวมาแล้วจะเห็นว่า เนื้อหานั้นเหมือนกัน แต่วิธีการแบ่งนั้นต่างกัน ทั้งนี้อาจจะยังมีวิธีอื่นๆ อีกแล้วแต่จุดประสงค์ของผู้แบ่ง เช่น อี.สแปรนเจอร์ (E. Spranger) ได้จำแนกลักษณะของค่านิยม โดยการพิจารณาตามลักษณะการดำรงชีวิตของมนุษย์ในสังคมด้านต่างๆ ออกเป็น 6 ประเภท คือ

1. ค่านิยมทางทฤษฎีหรือวิชาการ (Theoretical Value) ได้แก่ ค่านิยมที่จะศึกษาหาความรู้ความจริง เหตุผล และการรวบรวมจัดระบบความรู้
2. ค่านิยมทางเศรษฐกิจ (Economic Value) เป็นค่านิยมที่ทำให้บุคคลแสวงหาประโยชน์ทรัพย์สิน และความมั่นคง
3. ค่านิยมทางสุนทรียภาพ (Aesthetic Value) เกี่ยวข้องกับความชื่นชม พึงพอในในความงามความเหมาะสม และความกลมกลืนกันในลักษณะต่างๆ
4. ค่านิยมทางสังคม (Social Value)ได้แก่ความรักเพื่อนมนุษย์ ความต้องการที่จะทำประโยชน์ให้เพื่อมนุษย์
5. ค่านิยมทางการเมือง (Political Value) คือ ความนิยมอำนาจอิทธิพลและชื่อเสียง
6. ค่านิยมทางศาสนา (Religious Value) ได้แก่ ความเชื่อและความยึดถือในศาสนา สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือจุดมุ่งหมายอันสูงสุดในจักรวาล
                   นอกจากนี้ยังมีนักสังคมวิทยาได้จำแนกลักษณะของค่านิยมตามกลุ่มคน โดยพิจารณาจำแนกเป็นระดับบุคคล กลุ่มคน และสังคม หรือถ้าผู้จำแนกยึดถือลักษณะของสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงเสมออาจจำแนกลักษณะของค่านิยมออกเป็นค่านิยมที่มีลักษณะยืนยงถาวรหรือเปลี่ยนแปลงกับค่านิยมที่มีลักษณะระดับของความสำคัญมากน้อย หรือลักษณะของค่านิยมที่เป็นความเชื่อ


วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ค่านิยมในสังคมไทย


     ประนอม เดชชัย (2536, หน้า 204-206) ได้กล่าวสรุปว่า ค่านิยมไทยที่สำคัญและควรปลูกฝังขึ้นให้เกิดในสังคมไทยทุกคนเพื่อให้พลเมืองเกิดความเจริญก้าวหน้าแก่ตนเอง และประเทศชาติ สรุปได้ดังนี้ คือ

     1. ความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งสถาบันทั้งสามนี้มีความสำคัญยิ่งที่ทำให้คนไทยมีสถานที่อยู่อาศัย มีศาสนาเป็นสถาบันที่ก่อให้เกิดความสงบสุข และมีพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของชนในชาติ ดังนั้นควรปลูกฝังให้ประชาชนเห็นความสำคัญ และร่วมกันรักษาสถาบันทั้งสามตลอดไป


     2. ความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อให้สังคมเกิดความสงบสุขและพัฒนาไปได้อย่างมั่นคงนั้นสมาชิกทุกคนต้องซื่อสัตย์สุจริตต่อกันเพราะความซื่อสัตย์สุจริตนั้นเป็นค่านิยมที่ดีที่สุดในการดำเนินการทุกอย่างชาวไทยทุกคนจึงควรปฏิบัติตนและยึดมั่นในค่านิยมนี้ตลอดไป


     3. ความมีระเบียบวินัย ระเบียบวินัย คือ ข้อปฏิบัติที่มีหลักเกณฑ์เพื่อให้การปฏิบัติงานบรรลุสำเร็จโดยดี ฉะนั้นการสร้างนิสัยให้เป็นคนมีระเบียบวินัยจึงจำเป็นต่อการสร้างสรรค์ความมั่นคงก้าวหน้าของประเทศ ระเบียบวินัยที่สำคัญ ๆ ได้แก่ รัก และรักทรัพย์สมบัติของชาติ การตรงต่อเวลา ความสะอาด ฯลฯ เป็นต้น



     4. ความสุภาพเรียบร้อย การมีกิริยามารยาทเรียบร้อยอ่อนโยนนุ่มนวล ทำให้บุคคลที่สัมพันธ์ด้วยเกิดความเมตตารักใคร่อยากช่วยเหลือเกื้อกูลสนับสนุนให้ก้าวหน้า


     5. ความกตัญญูกตเวที ความกตัญญูกตเวทีเป็นสิ่งที่ช่วยให้สมาชิกในสังคมรักใคร่เมตตาช่วยเหลือเกื้อกูลกันทำให้บุคคลนั้นมีความก้าวหน้าในการงานหากสังคมไทยมีบุคคลเช่นนี้มาก ๆ คนส่วนใหญ่ก็จะเจริญก้าวหน้า และเป็นผลให้ชาติเจริญก้าวหน้าไปด้วย


     6. การรู้จักเสียสละ เอื้อเฟื้อ และการให้อภัย การที่บุคคลอยู่ร่วมกัน ช่วยเหลือสงเคราะห์กันแบ่งปันทรัพย์ของตนเพื่อประโยชน์แก่ผู้ตกยากลำบาก หรือสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวมแล้วสังคมนั้นก็จะทำให้เกิดความรักใคร่สามัคคีและนำมาซึ่งความสงบสุขแก่หมู่คณะด้วย


     7. ความขยันขันแข็ง ความขยันขันแข็งเอาใจใส่ปฏิบัติงานย่อมนำมาซึ่งความสำเร็จในชีวิตได้และสามารถช่วยให้ประเทศชาติเติบโตทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะจะช่วยขจัดความยากจนของสังคมได้สำหรับประเทศไทยโชคดีที่มีความอุดมสมบูรณ์เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ถ้าปลูกฝังค่านิยมความขยันขันแข็งในการประกอบอาชีพสม่ำเสมอให้แก่ประชาชนแล้ว เชื่อแน่ว่าประเทศไทยจะมีความเจริญทัดเทียมกับอารยประเทศในอนาคตอันใกล้นี้


     8. การเป็นผู้มีความรับผิดชอบ ค่านิยมที่ปลูกฝังให้ประชาชนมีความรับผิดชอบในตนเองและส่วนรวมเป็นสิ่งสำคัญในการทำงานให้บรรลุผลสำเร็จ และความรับผิดชอบทำงานร่วมกันในหมู่คณะให้ดำเนินไปด้วยดีแล้วย่อมหมายถึงความเจริญของประเทศชาติด้วยเช่นกัน


     9. การนิยมประเพณีไทย ค่านิยมเกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณีไทยเป็นสิ่งที่ดีงาม ซึ่งบรรพบุรุษได้สร้างสมขึ้นอย่างเหมาะสมกับสังคมไทย เป็นการแสดงว่าชาติไทยมีความเจริญรุ่งเรืองมาแล้วในอดีต มีขนบประเพณีวัฒนธรรมเป็นแบบอย่างของตนเองมาช้านานจำเป็นต้องปลูกฝังค่านิยมดังกล่าวนี้ให้ประชาชนคนไทยต้องผดุงรักษาไว้ตลอดไป


     10. การประหยัด การประหยัดเป็นค่านิยมที่ช่วยให้บุคคลสามารถเก็บหอมรอมริบ รู้จักใช้เงินทองในทางที่ถูกที่ควร บุคคลที่รู้จักประหยัดย่อมสร้างอนาคตให้เป็นปึกแผ่นได้และนั่นหมายถึง ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาติด้วย ดังนั้นประชาชนทุกคนจึงควรได้รับการปลูกฝังค่านิยมนี้ขึ้นโดยระลึกอยู่เสมอว่าไม่มีใครสร้างอนาคตที่ดีได้โดยไม่รู้จักประหยัด


     11. การยกย่องคุณความดี คุณความดี หมายถึงการกระทำใด ๆ ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและส่วนรวมโดยเหมาะสม และไม่ก่อความเดือดร้อนแก่คนส่วนใหญ่


ทัศนคติและค่านิยมที่ควรปลูกฝัง

ขณะนี้ทัศนคติและค่านิยมที่ควรปลูกฝังเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ของวัยรุ่นเปลี่ยนไปในทางที่เป็นลบหรือในทางที่ไม่ดี กล่าวคือ วัยร่นคิดว่าการมีเพศสัมพันธ์การมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องที่ไม่เสียหาย เห็นคนอื่นทำก็อยากจะทำบ้างชอบทำเลียนแบบสื่อ ตลอดจนทำตามการยุยงส่งเสริมของเพื่อนเมื่อสภาพเป็นเช่นนี้จึงควรปลูกฝังทัศนคติและค่านิยมดังนี้
1.  ต้องตระหนักถึงศักศรีดิ์และคุณค่าของตัวเองโดยเฉพาะเด็กสาว
2.  ต้องรักนวลสงวนตัวสำหรับผู้หญิงและมีความเป็นสุภาพบุรุษสำหรับผู้ชาย
3.  ความสัมพันธ์ทางเพศไม่ควรเกิดจากการกดดัน ข่มขู่ หรือแสวงหาผลประโยชน์
4.  ความสัมพันธ์ทางเพศควรอยู่บนรากฐานของความไว้วางใจ ความซื่อสัตย์และความรับผิดชอบ ตลอดจนให้ เกียรติกัน
5.  ความสัมพันธ์ทางเพศที่เกิดขึ้นก่อนวัยอันควรย่อมมีผลตามมาเสมอ
6.  พฤติกรรมทางเพศที่เกิดเร็วกว่าวัยจะทำให้มีความเสี่ยงสูง
7.  พฤติกรรมทางเพศจะต้องมีความรับผิดชอบ และมีวินัย หลีกเลี่ยงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์
8.  การละเว้นการมีเพศสัมพันธ์เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์
9.  วัยรุ่นที่เสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์ควรจะได้รู้จักข้อมูลเกี่ยวกับการให้บริการทางการแพทย์

10.สังคมจะได้ประโยชน์ถ้าเด็ก ๆ สามารถจะพูดคุยเรื่องทางเพศกับพ่อแม่และผู้ใหญ่ด้วยความเชื่อถือ     และไว้วางใจ


แนวปฏิบัติตามค่านิยมพื้นฐาน 5 ประการ

สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (2530, หน้า 9-10) ได้วางแนวทางปฏิบัติตามค่านิยมพื้นฐานไว้ ดังนี้ คือ
1. การพึ่งตนเอง ขยันหมั่นเพียร และมีความรับผิดชอบ ที่เอาค่านิยมสามประการมาอยู่ในประเภทเดียวกัน เพราะมีพฤติกรรมการแสดงออกและความรู้สึกเชื่อศรัทธา แนวเดียวกัน แบ่งเป็นลักษณะย่อยได้ดังนี้
1.1 ศึกษาหาความรู้อยู่เป็นเนืองนิจ
1.2 ฝึกฝนตนเองให้มีความสามารถและความชำนาญ
1.3 ใช้ความรู้ความสามารถของตนเองให้เต็มที่ก่อนขอความช่วยเหลือจากคนอื่น
1.4 มีความเข้มแข็งอดทน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคและปัญหาทั้งปวง
1.5 ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
1.6 คิดชอบ ทำชอบ และแก้ปัญหาได้
1.7 ขวนขวายประกอบอาชีพสุจริตไม่เลือกงาน
1.8 รับผิดชอบต่อตนเอง ต่อส่วนรวม ต่อหน้าที่และการกระทำ
1.9 ปฏิบัติงานให้สำเร็จเรียบร้อย



2. การประหยัดและออม เป็นการรู้จักใช้ทรัพย์สิน เวลา ทรัพยากรทั้งส่วนตนและสังคมตามความจำเป็นให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่า รู้จักดำรงชีวิตให้เหมาะสมกับสภาพ ฐานะความเป็นอยู่ของตนและสังคม แบ่งลักษณะย่อยได้ดังนี้
2.1 มีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย
2.2 มีความพอดีในการบริโภค
2.3 ใช้ทรัพยากรและเวลาให้เป็นประโยชน์มากที่สุด
2.4 คำนึงถึงฐานะและเศรษฐกิจ คิดก่อนที่จะจ่าย ใช้เท่าที่จำเป็น
2.5 ไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ฟุ่มเฟือย หรือตระหนี่ถี่เหนียวเกินไป
2.6 จัดงานและพิธีต่าง ๆ โดยใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น
2.7 เพิ่มพูนทรัพย์ด้วยการเก็บและนำไปทำให้เกิดประโยชน์
2.8 รู้จักใช้ ดูแลรักษาและบูรณะทรัพย์ทั้งของตนและส่วนรวม
2.9 วางแผนการใช้จ่ายให้รอบคอบ มีสัดส่วนการออมไว้พอสมควร



3. มีระเบียบวินัยและเคารพกฎหมาย ค่านิยมข้อนี้ชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นการควบคุมตนเองให้ปฏิบัติต่อกฎหมาย ข้อบังคับ ระเบียบแบบแผนและขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม เพื่อความสงบสุขแก่ตนเองและส่วนรวม แบ่งลักษณะย่อยได้ดังนี้
3.1 รักษาความสะอาดของบ้านเมือง ที่อยู่อาศัยและสาธารณะสถาน
3.2 ช่วยกันรักษาและไม่ทำลายสาธารณะสมบัติและสิ่งแวดล้อม
3.3 รู้จักสิทธิหน้าที่และละเว้นการใช้อภิสิทธิ์
3.4 รับบริการและให้บริการตามลำดับก่อนหลัง
3.5 สนับสนุนและส่งเสริมเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติตามกฎหมาย
3.6 ไม่แก้ปัญหาโดยวิธีรุนแรงหรือไม่ชอบด้วยระเบียบวินัยและกฎหมาย
3.7 มีมรรยาทในการขับขี่ยานพาหนะ ปฏิบัติตามกฎจราจร และช่วยดูแลรักษาทางสัญจรไปมา
3.8 ทำหน้าที่พลเมืองดีโดยแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ เมื่อรู้เห็นการกระทำผิดระเบียบวินัยและกฎหมาย
3.9 รับผิดชอบและปฏิบัติตามระเบียบวินัยและกฎหมายในฐานะเจ้าหน้าที่



4. ปฏิบัติตามคุณธรรมของศาสนา หมายถึง ความมีศรัทธาและยึดถือปฏิบัติตามแบบแผนการประพฤติ ซึ่งตั้งอยู่ในความดีงามตามหลักธรรมของศาสนา แบ่งลักษณะย่อยได้ดังนี้
4.1 ไม่เบียดเบียนประทุษร้ายต่อคนและสัตว์
4.2 มีความเมตตากรุณา
4.3 ไม่เห็นแก่ได้ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และเสียสละ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมยิ่งกว่าประโยชน์ส่วนตัว
4.4 ไม่พูดปด ไม่พูดยุยงให้แตกร้าว ไม่พูดหยาบคาย ไม่พูดเหลวไหล
4.5 มีความประพฤติดีในความสัมพันธ์ทางครอบครัวและเพศ
4.6 เว้นสิ่งเสพติด มีสติสัมปชัญญะ
4.7 มีความละอายและเกรงกลัวต่อการกระทำชั่ว
4.8 มีความอดทน อดกลั้น
4.9 มีความกตัญญูกตเวที
4.10 มีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ฉ้อราษฎร์บังหลวง
4.11 ละชั่ว ประพฤติดีทำจิตใจให้ผ่องใส
4.12 เชื่อกฎแห่งกรรม เช่น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว



5. มีความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ประกอบด้วยลักษณะย่อยดังนี้
5.1 สถาบันชาติ
      5.1.1 ศึกษาให้เข้าใจประวัติและการดำรงอยู่ของชาติ
      5.1.2 สอดส่องป้องกันภัยและแก้ไขความเสียหายที่กระทบกระเทือนความมั่นคงของชาติ
      5.1.3 ป้องกันและรักษาผลประโยชน์ของชาติ
      5.1.4 ส่งเสริมและรักษาเกียรติของชาติ ภาคภูมิใจในความเป็นไทย และนิยมไทย
      5.1.5 สร้างเสริมความสามัคคีแห่งชาติ
      5.1.6 เสียสละประโยชน์สุขแห่งตนและแม้ชีวิตเพื่อประเทศชาติ
      5.1.7 ปฏิบัติหน้าที่ของพลเมืองดีโดยการรับราชการทหารประกอบอาชีพสุจริตและเสียภาษีอากรเพื่อพัฒนา  ประเทศ
      5.1.8 ยกย่องให้เกียรติผู้ทำหน้าที่ป้องกันและเสียสละเพื่อประเทศชาติ
      5.1.9 ปฏิบัติตามคติพจน์ที่ว่า การรักษาวัฒนธรรมคือการรักษาชาติ


5.2 สถาบันศาสนา ประกอบด้วยลักษณะย่อยดังนี้
      5.2.1 ศึกษาศาสนาให้มีความรู้ความเขาใจถูกต้อง
      5.2.2 ปลูกฝังความเชื่อความเลื่อมใสในศาสนาด้วยปัญญา
      5.2.3 ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของศาสนาในชีวิตประจำวัน
      5.2.4 สอดส่องป้องกันภัยและแก้ไขความเสียหายที่กระทบกระเทือนความมั่นคงของสถาบันศาสนา
      5.2.5 ช่วยส่งเสริมทนุบำรุงศาสนา
      5.2.6 ไม่ทำลายปูชนียสถาน ปูชนียวัตถุและศิลปกรรมทางศาสนา
      5.2.7 เผยแพร่ความรู้และการบัญญัติตามหลักศาสนา
      5.2.8 เคารพเทิดทูนศาสนาและไม่กระทำการใด ๆ ในทางดูหมิ่น
      5.2.9 สร้างความเข้าใจอันดีระหว่างผู้นับถือศาสนาต่าง ๆ


5.3 สถาบันพระมหากษัตริย์ ประกอบด้วยลักษณะย่อย ดังนี้
      5.3.1 ศึกษาความรู้ความเข้าใจอันดีเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์
      5.3.2 รักษาและส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
      5.3.3 สอดส่องป้องกันภัยและแก้ไขความเสียหายที่กระทบกระเทือนความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์
      5.3.4 แสดงความจงรักภักดีเทิดทูนพระเกียรติและเผยแพร่พระราชกรณียกิจ

      5.3.5 ร่วมกันประกอบความดี เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล โดยเฉพาะในวันสำคัญที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา